tag:blogger.com,1999:blog-19246279996980718102024-03-19T11:59:16.295-07:00parakornkaghttp://www.blogger.com/profile/08390070741931616978noreply@blogger.comBlogger10125tag:blogger.com,1999:blog-1924627999698071810.post-9535142935538385472008-01-30T19:15:00.000-08:002008-01-30T19:35:11.980-08:00ยาสมุนไพรสำหรับโรคกระเพาะอาหาร<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiszA6vBpgbIfXlImfG4fs0qOxRd0dLdr0rIIeMi3l4O9YwPUFxC8Nh-BNC3td8XBao8RVuyb32qDgezO7DKjqIOEkLuP-3-5kxWL1IMt23QSFsVajI2IQjxOs93gvSNtcoG9WzIvw6Fd0k/s1600-h/1111.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5161478358952988818" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiszA6vBpgbIfXlImfG4fs0qOxRd0dLdr0rIIeMi3l4O9YwPUFxC8Nh-BNC3td8XBao8RVuyb32qDgezO7DKjqIOEkLuP-3-5kxWL1IMt23QSFsVajI2IQjxOs93gvSNtcoG9WzIvw6Fd0k/s200/1111.jpg" border="0" /></a><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg4cuYRxLbh4oGxUfLakL4DF8x69iQfxBC6hKMBuwqL_ZOjazw2lCPWDwj-khKvhKjc_UQsH_Te-IWp20s3RF5kST9HgrjjQhcOsMcU6UqLvUj2QPt19o4cYLlHhFCYlJOwW8ASuWSWCHDB/s1600-h/images1111.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5161478088370049154" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg4cuYRxLbh4oGxUfLakL4DF8x69iQfxBC6hKMBuwqL_ZOjazw2lCPWDwj-khKvhKjc_UQsH_Te-IWp20s3RF5kST9HgrjjQhcOsMcU6UqLvUj2QPt19o4cYLlHhFCYlJOwW8ASuWSWCHDB/s200/images1111.jpg" border="0" /></a><br /><div><span style="font-family:arial;"><span style="font-size:130%;color:#ff0000;">ขมิ้นชัน กล้วย</span> </span><br /><span style="font-family:arial;">โรคกระเพาะอาหาร (peptic ulce) หมายถึงอาการปวดแสบ ปวดต้อ ปวดเสียด หรือจุกแน่น ตรงบริเวณใต้ลิ้นปี่ (เหนือสะดือ) เวลาก่อนรับประทานอาหารหรือหลังรับประทานอาหารใหม่ ๆ สาเหตุสำคัญของโรคกระเพาะคือ ความเครียด (วิตกกังวล คิดมาก เคร่งเครียดกับการงาน การเรียน) พฤติกรรมการรับประทานอาหารผิดเวลา และการรับประทานอาหารที่ระคายเคืองต่อกระเพาะอาหารและลำไส้เช่น เหล้า เบียร์ แอสไพริน (ยาแก้ปวด ยาซอง) ยาแก้ปวดข้อ ยาชุด หรือยาลูกกลอนที่ใส่สเตียรอยด์ เครื่องดื่มชูกำลัง ที่เข้าสารคาเฟอีน เป็นต้นการรักษาโรคกระเพาะ โดยการรับประทานยา และดูแลสุขภาพ ของตนเอง ดังนี้<br /><span style="color:#000099;">ก. รับประทานอาหารให้ตรงเวลา<br />ข. รับประทานอาหาร 3 มื้อตามปกติ</span> (ถ้าปวดมากในระยะแรก ควรรับประทานอาหารอ่อนที่ย่อยง่าย เช่นข้าวต้ม) อย่ารับประทานอาหารรสเผ็ดจัด เปรี้ยวจัดไม่จำเป็นต้องแบ่งรับประทานอาหารทีละน้อยแต่บ่อยมื้อขึ้นดังที่เคยแนะนำกันในอดีต เพราะยิ่งรับประทานมากนอกจากจะทำให้น้ำหนักขึ้นแล้ว (ต้องคอยลดความอ้วนอีก) ยังอาจจทำให้อาการกำเริบได้ง่ายอีกด้วยคนที่เป็นโรคกระเพาะบางครั้งอาจรู้สึกหิวง่ายก็ควรรับประทาน ยาลด กรดแทนนมหรือข้าว</span><br /><span style="font-family:arial;"><span style="color:#3333ff;">ค. งดเหล้า เบียร์ ชา กาแฟ เครื่องดื่มชูกำลัง น้ำอัดลม และบุหรี่</span>เพราะจะทำให้โรคกำเริบได้ </span><br /><span style="font-family:arial;"><span style="color:#3333ff;">ง.ห้ามรับประทานยาแอสไพริน ยาแก้ปวดข้อ ยาที่เข้าเตรียรอยด์</span> (ในรายที่จำเป็นต้องใช้ยาเหล่านี้รักษาโรคอื่น ควรปรึกษาแพทย์) </span><br /><span style="font-family:arial;color:#3333ff;">จ.</span><span style="font-family:arial;"><span style="color:#3333ff;">คลายเครียดด้วยการออกกำลังกาย</span> (เช่น วิ่งเหยาะ เดินเร็ว ขี่จักรยาน ว่ายน้ำ รำมวยจีน โยคะ เต้นแอโรบิก) หรือทำสมาธิ สวดมนต์ ไหว้พระ หรือเจริญภาวนาตามศาสนาที่ตัวเองนับถือ คนที่เป็นโรคกระเพาะเนื่องจากความเครียด การปฏิบัติในข้อนี้ จะมีส่วนช่วยให้โรคหายขาดได้ </span><br /><span style="font-family:arial;"></span></div><span style="font-family:arial;"><div><br /><span style="color:#ff0000;"><span style="font-size:130%;">ขมิ้นชัน</span> </span>ชื่อวิทยาศาสตร์ <span style="color:#33ff33;">Curcuma longa Linn।, Curcuma domesticaVal।</span> ชื่อท้องถิ่น ขมิ้น (ทั่วไป) ขมิ้นแกง ขมิ้นหยวก ขมิ้นหัว (เชียงใหม่) ขี้มิ้น หมิ้น(ใต้) ตายอ (กะเหรี่ยง-กำแพงเพชร) สะยอ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน)<br /><span style="color:#000099;">ลักษณะของพืช ขมิ้นมีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนของทวีปเอเชีย ประเทศอินเดีย จีน และหมู่เกาะ อินเดียตะวันออกปัจจุบันมีการปลูกเป็นพืชเศรษฐกิจ อย่างแพร่หลายในประเทศเขตร้อน ขมิ้นเป็นพืชล้มลุก มีเหง้าอยู่ใต้ดิน อายุหลายปี ถึงฤดูแล้งใบจะโทรม เมื่อย่างเข้าฤดูฝนเริ่มแตกใบขึ้นมาใหม่เนื้อในของเหง้ามีสีเหลืองเข้มจนถึงสีแสดเข้ม มีกลิ่นหอมเฉพาะ ใบเป็นใบเดี่ยว ก้านยาว ใบเหนียว เรียวและปลายแหลม กว้าง 12-15 ซม ยาว 30-40 ซม. ดอกเป็นดอกช่อ มีก้านช่อแทงจากเหง้าโดยตรง ดอกย่อยสีเหลืองอ่อน กลีบประดับสีเขียวอมชมพู ดอกบานครั้งละ 3-4 ดอก ผลรูปกลม มี พู<br />ส่วนที่ใช้เป็นยา เหง้าแห้ง ช่วงเวลาที่เก็บเป็นยา เก็บเมื่อขมิ้นอายุราว 7-9 เดือน รสและสรรพคุณยาไทย รสฝาด กลิ่นหอมแก้โรคผิวหนัง ผื่นคัน ขับลม ท้องร่วง ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ เหล้าขมิ้นมีน้ำมันหอมระเหยประมาณร้อยละ 22-6 เป็นน้ำมันสีเหลือง มีสารหลายชนิด คือ Turmerone, Zingiberene, Borneol เป็นต้น และมีสารสีเหลืองส้ม คือ เคอร์ควิมิน (Curmumin) ประมาณร้อยละ 1.8-5.2<br /><br />การศึกษาทางเภสัชวิทยาพบว่า ขมิ้นมีฤทธิ์ป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะ มีฤทธิ์ลดการอักเสบ ขับน้ำดี และฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อเรียบได้ โดยที่ฤทธิ์ป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะเกิดจากสารเคอร์คิวมิน ขนาด 50 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ทำให้เกิดการกระตุ้น การหลั่ง mucin ออกมาเคลือบกระเพาะ แต่ถ้าใช้ขนาดสูงอาจทำให้เกิดแผลในกระเพาะได้ ส่วนฤทธิ์ลดการอักเสบเกิดจากสารเคอร์คิวมินและน้ำมันหอมระเหย ทำให้ขมิ้นมีผลช่วยบรรเทาอาการปวดท้องเนื่องจากแผลในกระเพาะได้<br />ขมิ้นเป็นสมุนไพรที่มีความปลอดภัยสูง การศึกษาพบว่าขมิ้น ไม่มีพิษเฉียบพลันและไม่มีผลในด้านก่อกลายพันธุ์ วิธีใช้ ขมิ้นใช้รักษาโรคกระเพาะอาหารโดยการนำเหง้าแก่สดล้างให้สะอาด (ไม่ต้องปอกเปลือก) หั่นเป็นชิ้นบาง ๆ ตากแดดจัดสัก 1-2 วัน บดให้ละเอียด ผสมกับน้ำผึ้งปั้นเป็นลูกกลอน หรือบรรจุแคปซูล เก็บไว้ในขวดสะอาดและมิดชิด รับประทานครั้งละ 500 มิลลิกรัม วันละ4 ครั้ง หลังอาหารและก่อนนอน<br />บางคนรับประทานขมิ้นแล้วอาจมีอาการแพ้ขมิ้น เช่นคลื่นไส้ ท้องเสีย ปวดหัวนอนไม่หลับ เป็นต้น หากมีอาการดังกล่าวให้หยุดยาและเปลี่ยนไปใช้ยาชนิดอื่นแทนยาสมุนไพรที่ใช้รักษาโรคกระเพาะอาหาร<br /></span><span style="font-size:130%;"><span style="color:#ff0000;">กล้วย</span><br /></span>ชื่อวิทยาศาสตร์ <span style="color:#33cc00;">Musa sapientum Linn.</span> ชื่อท้องถิ่น - ลักษณะ<br />พืช กล้วยเป็นพืชเมืองร้อนและเป็นพืชที่คุ้นเคยกับคนไทยมาช้านาน เพราะเกือบทุกส่วนของกล้วยมีประโยชน์ต่อชีวิตประจำวัน <span style="color:#3333ff;">กล้วยเป็นพืชล้มลุกที่มีลำต้นตรง รูปร่างกลม มีกาบใบหุ้มซ้อนกัน ใบสีเขียวขนาดใหญ่ ขอบใบขนานกัน ช่อดอกคือหัวปลี มีลักษณะห้อยหัวลงยาว 1-2 ศอก มีดอกย่อยออกเป็นแผง กลายเป็นผลติดกัน เรียกว่าหวี เรียงซ้อนและติดกันที่แกนกลางเรียกว่าเครือส่วนที่ใช้เป็นยา ผลกล้วยดิบหรือผลห่าม ช่วงเวลาที่เก็บเป็นยา เก็บผลกล้วยช่วงเปลือกเป็นสีเขียว ต้นกล้วยจะให้ผลเมื่ออายุ 8-12 เดือน รสและสรรพคุณยาไทย รสฝาด ฤทธิ์ฝาดสมาน ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ กล้วยดิบประกอบด้วยสารประกอบหลายชนิด คือ Tannin , Serotonin, Norepinephnine, Dopamin และ Catecholamine สารเหล่านี้อยู่ในเนื้อและเปลือกของกล้วยสำหรับกล้วยสุกมี pectin , Essential oil, Norepinephrine และกรดอินทรีย์หลายชนิด ปี คศ। 1964 Best และคณะ ได้พบว่าผงกล้วยดิบมีฤทธิ์รักษาแผลในกระเพาะหนูขาว ซึ่งเกิดจากการให้ aspirin โดยสามารถใช้ทั้งป้องกันและรักษาโรคแผลในกระเพาะอาหารได้ ในการป้องกันจะใช้ขนาด 5 กรัม ส่วนการรักษาใช้ขนาด 7กรัม และถ้าเป็นสารสกัดด้วยน้ำจะมีฤทธิ์แรงเป็น 800 เท่าของผงกล้วย ผู้วิจัยเข้าใจว่ากล้วยดิบไปกระตุ้นให้เซลล์ในเยื่อบุกระเพาะหลั่งสารพวก mucin ออกมาเคลือบกระเพาะ กล้วยจะดีกว่ายาพวก Aluminium hydroxide, Cimetidine หรือ Postaglandin ซึ่งมีฤทธิ์เฉพาะป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะเท่านั้น แต่ไม่สามารถรักษาแผลที่เกิดแล้วได้ วิธีใช้ นำกล้วยน้ำว้าดิบฝานเป็นแว่นตากแดดประมาณ 2 วัน หรืออบให้แห้งในอุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียส และบดเป็นผง วิธีรับประทานโดยการนำผงกล้วยดิบครั้งละครึ่งถึงหนึ่งผล ชงน้ำหรือผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ ดื่มหรือนำผงกล้วยดิบมาปั้นลูกกลอน รับประทานครั้งละ 4 เม็ด วันละ 4 ครั้ง ก่อนอาหาร และก่อนนอน รับประทานแล้วอาจมีอาการท้องอืดเฟ้อ ป้องกันได้โดยใช้ร่วมกับยาขับลม เช่น น้ำขิง พริกไทย ..............จบ</span></span></div></div>kaghttp://www.blogger.com/profile/08390070741931616978noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1924627999698071810.post-48934304586076232732008-01-18T11:00:00.000-08:002008-01-18T11:07:39.463-08:00กะเพรา พญายอ มะแว้งเครือ ปลาไหลเผือก<span style="color:#ff0000;">กะเพรา<br /></span>ชื่อวิทยาศาสตร์ <span style="color:#33cc00;">Ocimum sanctum Linชื่อวงศ์ Labiatae</span><br />ชื่ออื่นๆ <span style="color:#3333ff;">กะเพราขาว กะเพราแดง(ภาคกลาง)กอมก้อ(ภาคเหนือ)<br /></span>ลักษณะของพืช เป็นไม้ล้มที่มีทรงพุ่มใหญ่และสูงได้ 30-60ซม.มีขนปกคลุมทั่วไปใบเดี่ยวออกตรงข้ามเนื้อใบบางและนุ่ม ก้านใบยาว1-3ซม.ตัวใบรูปร่างรีหรือขอบขนาน กว้าง1-2.5 ซม. ยาว2-4.5 ซม.ปลายใบและโคนใบอาจแหลมหรือมน ขอบใบค่อนข้างหยักเส้นใบทั้ง2 ด้านมีขนปกคลุม ดอกออกรวมกันเป็นช่อ ยาว 8-14 ซม.โดยดอกติดรอบแกนช่อเป็นชั้นๆมีทั้งชนิดที่สีของส่วนต่างๆ เช่น ลำต้น ใบ ดอกเป็นสีเขียว และชนิดที่ส่วนต่าง ๆมีสีเขียวอมม่วงแดง<br />ส่วนที่ใช้เป็นยา ใบและยอด ทั้งสดหรือแห้ง<br /><span style="color:#006600;">สรรพคุณและวิธีใช้ -แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และปวดท้องใช้ใบและยอด 1 กำมือ (น้ำหนักสดประมาณ 25 กรัม แห้งประมาณ4กรัม )ต้มเอาน้ำดื่ม เหมาะสำหรับเด็กแก้อาการคลื่นไส้อาเจียน(เกิดจากธาตุไม่ปกติ)ใช้ใบและยอดสดประมาณ 1 กำมือ (ประมาณ 25 กรัม)ต้มเอาน้ำดื่ม<br /></span>การขยายพันธุ์ นิยมก่รใช้เมล็ด<br />สภาพดินฟ้าอากาศ ชอบดินร่วนซุย ควรปลูกต้นฤดูฝน<br />การปลูก กะเพาะ ปลูกง่ายในดินแทบทุกชนิด โดยมากปลูกไว้เป็นอาหาร<br />ตามบ้านเรือนทั่วๆไป<br />การบำรุงรักษา ปล่อยให้เจริญเติมโตได้เองโดยไม่ต้องบำรุงรักษาแต่อย่างไร<br /><br /><span style="color:#ff0000;">พญายอ</span><br />ชื่อวิทยาศาสตร์ <span style="color:#66cccc;">clinacanthus nutans (Burm.f.) Lindau</span><br />ชื่อวงศ์ Acanthaceae<br />ชื่ออื่นๆ <span style="color:#99ffff;"><span style="color:#006600;">พญาปล้องทอง คงคาเย็น (ภาคกลาง) ผักมันไก่ ผักลิ้นเขียด(เชียงใหม่) พญาปล้องดำ (ลำปาง)</span><br /></span>ลักษณะของพืช เป็นไม้เลื้อยหรือไม้พุ่มเลื้อย ลำต้นสีเขียว ไม่มีหนามใบเดี่ยวติดกับลำต้นแบบตรงกันข้าม ใบรูปรียาว ปลายใบและโคนใบแหลม ขนาดใบกว้าง 0.5-2 ซม. ก้านใบยาว 3-10 มม.ดอกออกเป็นช่อแน่นที่ปลายยอด แต่ละดอกมีใบประดับสีเขียว รูปเรียวแหลมยาว 1 ซม. ติดที่โคนดอกดอกมีกลีบสีแดงลักษณะเป็นหลอดยาว 2-3.5 ซม. ปลายหลอดแยกเป็น 2 ส่วน มีเกสรตัวผู้และเกศรตัวเมียยาวโผล่พ้นหลอด<br />ส่วนที่ใช้เป็นยา ใบสด<br /><span style="color:#000099;">สรรพคุณและวิธีใช้ช้รักษาโรคผิวหนังจำพวกเริมและงูสวัดใช้ใบสดประมาณ 1 กำมือ (ขนาดที่ใช้สามารถเพิ่มขึ้นหรือลดลงตามอาการ) ตำผสมเหล้า ทาบ่อย ๆ-ใช้แก้พิษแมลงสัตว์ กัดต่อย (ไม่รวมพิษงู)ใช้ 2-10 ใบ ขยี้หรือตำให้แหลก นำมาทาหรือพอก<br /></span>การขยายพันธุ์ ใช้ปักชำ<br />เจริญได้ดีในที่แจ้งและร่ม<br />การปลูก ตัดต้นตรงส่วนทีไม่อ่อนและไม่แก่จนเกินไป ชำลงในดินที่ต้องการรดน้ำให้ชุ่มทันทีและหลังชำใหม่ ๆ ควรรดน้ำทุกวัน จนกว่ากิ่งชำจะเจริญแข็งแรงดี<br /><br /><span style="color:#ff0000;">มะแว้งเครือ<br /></span>ชื่อวิทยาศาสตร์ <span style="color:#ff0000;">Solanum trilobatum Linnชื่อวงศ์ सोलानासाए</span><br />ชื่ออื่นๆ <span style="color:#33ff33;">แขว้งเคีย(ตาก)มะแว้งเถา(กรุงเทพฯ)</span><br />ลักษณะของพืช เป็นไม้เลื้อยหรือไม้พุ่ม กิ่งเลื้อยยาวได้2-5เมตรส่วนต่างๆมักมีหนามโค้งแหลมและสั้น ใบรูปไข่หรือรี ขอบใบหยักเว้า2-5หยักตัวใบมีขนาดกว้าง1-4ซม।ผิวใบอาจเรียบหรือมีหนามเล็กๆตามเส้นกลางใบ ดอกสีม่วงออกเป็นช่อ2-8 ดอก แต่ละดอกมีขนาด2-3ซม।ผลกลมใหญประมาณ8มม<span style="color:#ff9900;">।ส่วนที่ใช้เป็นยา ผลสดสรรพคุณและวิธีใช้ แก้ไอและขับเสมหะใช้ผลสด5-10 ผล ใบโขลกพอแหลกคั้นเอาแต่น้ำใส่เกลือจิบบ่อยๆหรือใช้ผลสดเคี้ยวแล้วกลืนทั้งน้ำและเนื้อ</span>การขยายพันธุ์ ใช้เมล็ดสภาพดินฟ้าอากาศ ขึ้นได้ในดินแทบทุกชนิด ควรปลูกฤดูฝนการปลูก พรวนดินกำจัดวัชพืชออกให้หมดหยอดเมล็ดลงในดินลึก2-3 ซม.กลบดินรดน้ำให้ชุ่มและควรมีค้างให้เลื้อยด้วยการบำรุงรักษา คอยกำจัดวัชพืชโคนต้นออกให้หมดและคอยตกแต่งกิ่งที่แห้งทิ้งบ้างในบางโอกาส<br /><br /><span style="color:#ff0000;">ปลาไหลเผือก</span><br />ชื่อวิทยาศาสตร์<span style="color:#006600;"> Eurycoma longifolia Jack<br /></span>ชื่อวงศ์ Simarobaceae<br />ชื่ออื่นๆ ไหลเผือก เพียก (ภาคใต้) หยิกบ่อถอง (ปราจีนบุรี) คะนาง ขะนาง (ตราด) ตรุสอ(ภาคกลาง)<br />ลักษณะของพืช เป็นไม้พุ่มขนาดกลาง ซึ่งมีลำต้นสีแดง สูงประมาณ6-15 เมตร ไม่แตกกิ่งก้านทางด้านข้าง จะมีใบอยู่ตรงส่วนยอดของลำต้นและใบยาวประมาณ 1 เมตร ใบนี้ประกอบด้วยใบย่อยจำนวนมาก ใบย่อยมีขน และรูปร่างเรียวแหลมหรือรูปไข่กลับ ปลายเรียวแหลม ดอกสีแดงยาว10-15 มม. มีทั้งดอกตัวผู้และดอกตัวเมียออกรวมกันเป็นช่อใหญ่ ยาวขนาดใกล้เคียงกันความยาวของใบผลสีน้ำตาล รูปร่างคล้ายรูปไข่ขนาดกว้าง 5-12 มม. ยาว 10-17 มม.<br />ส่วนที่ใช้เป็นยา รากแห้ง<br /><span style="color:#990000;">สรรพคุณและวิธีใช้ แก้ไข้ ใช้ครั้งละ 1 กำมือ(หนัก 8-15 กรัม) ต้มกับน้ำดื่มก่อนอาหารวันละ 2 ครั้งเช้าและเย็นหรีอเวลามีอากาศ</span><br />การขยายพันธุ์ ใช้เมล็ดหรือกิ่งตอน<br />สภาพดินฟ้าอากาศ ขึ้นได้ในดินทุกชนิดโดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีน้ำอุดมสมบูรณ์ ความชุ่มชื่นสูงไม่ชอบอากาศหนาว การควรเริ่มปลูกในต้นฤดูฝน<br />การปลูก อาจปลูกบนร่องหรือบนพื้นดินทั่วๆไป วิธีการก็เช่นเดียวกันพื้นชนิดอื่น<br />การบำรุงรักษา ในระยะที่ปลูกใหม่ๆ ต้องให้ร่มเงาและรดน้ำให้ชุ่มอย่างน้อยละครั้งเมื่อโตแล้วไม่จำเป็นต้องให้ร่มเงา แต่คอยระวังอย่าให้มีวัชพืชรบกวนโคนต้นมากนักkaghttp://www.blogger.com/profile/08390070741931616978noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1924627999698071810.post-76742181431398805982008-01-18T10:21:00.000-08:002008-01-18T11:00:00.088-08:00ลูกใตใบ<span style="color:#ffcc66;"><span style="color:#ff0000;">ลูกใต้ใบ</span><br /></span>ชื่อวิทยาศาสตร์ <span style="color:#33ff33;">Phyllanthus urinaria Linn</span>.<br />ชื่อวงศ์<span style="color:#3333ff;"> Euphorbiaceae</span><br />ชื่ออื่นๆ <span style="color:#993399;">หญ้าใต้ใบ(ทั่วไป) หญ้าใต้ใบขาว (สุราษฎร์ธานี) ไฟเดือนห้า(ชลบุรี)</span><br />ลักษณะของพืช เป็นพืชล้มลุกที่อายุสั้นเพียงปีเดียวลำต้นตั้งตรง<span style="color:#33ff33;">สูง5-80ซม</span>ตามส่วนข้อของต้นมักมีสีชมพูใบรูปคล้ายรูปไข่เกือบขอบขนานโคนใบมนปลายใบแหลมหรือปลายมนแล้วมีติ่งแหลม ด้านบนใบสีเขียวเข้มด้านใต้ใบสีอ่อนกว่า ขนาดใบ<span style="color:#33ff33;">กว้าง1-8มม</span>.<span style="color:#999900;">ยาว0.5-2ซม</span>.ก้านใบสั้นมาก ดอกออกตามซอกโคนก้านใบ มีทั้งชนิดดอกตัวผู้และตัวเมียมีขนาดเล็กมากและสีเหลืองซีดหรืออมเขียวผลรูปเกือบกลมใหญ่ประมาณ 3 มม.ผิวนอกขรุขระคล้ายตุ่มหนาม ก้านผลสั้นมากประมาณ 1 มม.<br /><span style="color:#ff0000;">ส่วนที่ใช้เป็นยา</span> ทั้งต้น สดหรือแห้ง<br /><span style="color:#ff6666;">สรรพคุณและวิธีใช้</span> <span style="color:#000099;">แก้ไข้ใช้ครั้งละ 1 กำมือ (แห้ง 3 กรัม สด 25 กรัม )ต้มกับน้ำดื่มก่อนอาหารเช้าและเย็นหรือเวลามีอาการ การขยายพันธุ์ ใช้เมล็ด<br />สภาพดินฟ้าอากาศ ขึ้นได้ในดินทุกชนิด และเจริญได้ดีในฤดูฝน<br /></span>การปลูก ลูกใต้ใบเป็นพันธุ์ไม้ล้มลุกที่พบได้ทั่วไปในที่โล่งแจ้ง หรือตามใต้ร่มเงาจึงไม่มีการปลูกแต่อย่างใด และจะพบมากในฤดูฝนkaghttp://www.blogger.com/profile/08390070741931616978noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1924627999698071810.post-69837645079437338752007-12-21T01:30:00.000-08:002007-12-21T02:01:08.808-08:00CHROMOSOME<a href="http://bp3.blogger.com/_rV3NVyhuK3A/R2uOn93fpZI/AAAAAAAAAFY/TLPQdxwPsag/s1600-h/imagesCASTSDRQ.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5146363816474289554" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="http://bp3.blogger.com/_rV3NVyhuK3A/R2uOn93fpZI/AAAAAAAAAFY/TLPQdxwPsag/s200/imagesCASTSDRQ.jpg" border="0" /></a><br /><div><a href="http://bp2.blogger.com/_rV3NVyhuK3A/R2uOgt3fpYI/AAAAAAAAAFQ/ePWSjhHmVPU/s1600-h/Image68.gif"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5146363691920237954" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="http://bp2.blogger.com/_rV3NVyhuK3A/R2uOgt3fpYI/AAAAAAAAAFQ/ePWSjhHmVPU/s200/Image68.gif" border="0" /></a><br /><br /><div><a href="http://bp3.blogger.com/_rV3NVyhuK3A/R2uOT93fpXI/AAAAAAAAAFI/jvBhmRQExb0/s1600-h/imagesCA7WNUK6.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5146363472876905842" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="http://bp3.blogger.com/_rV3NVyhuK3A/R2uOT93fpXI/AAAAAAAAAFI/jvBhmRQExb0/s200/imagesCA7WNUK6.jpg" border="0" /></a><br /><br /><div><div><a href="http://bp2.blogger.com/_rV3NVyhuK3A/R2uNjt3fpUI/AAAAAAAAAEw/NRSkm8okRWk/s1600-h/A296p2x5.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5146362643948217666" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="http://bp2.blogger.com/_rV3NVyhuK3A/R2uNjt3fpUI/AAAAAAAAAEw/NRSkm8okRWk/s200/A296p2x5.jpg" border="0" /></a><br /><br /><div><div><div align="center"><span style="color:#33ff33;">โครโมโซม(chromosome)</span><br /><br /><span style="color:#ff0000;">โครโมโซม คือ</span> <span style="font-family:arial;color:#000099;">สารพันธุกรรมในร่างกายของมนุษย์ เป็นตัวกำหนดลักษณะต่างๆเช่น สีตา สีผม ความสูง และควบคุม การทำงาน ของร่างกาย <span style="color:#ff0000;">โครโมโซมจะอยู่ในเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกาย</span> ในคนปกติทั่วไป แต่ละ<span style="color:#ff0000;">เซลล์จะมีจำนวนโครโมโซม อยู่ทั้ง หมด 23 คู่ หรือ 46 แท่ง โดยครึ่งหนึ่งคือ 23 แท่ง</span>เราจะได้รับมาจากพ่อและอีก 23 แท่งจะได้มาจากแม่ และเราสามารถ ถ่ายทอดโครโมโซมครึ่งหนึ่งไปให้ลูกของเราได้เช่นกัน ด้วยเหตุนี้ เราจึงมีลักษณะเหมือนพ่อและแม่ ส่วนลูกของเรา ก็จะมีลักษณะเหมือนเราและคู่ครองของเรานั่นเอง ดังที่กล่าวมาแล้ว คนปกติจะมีโครโมโซมอยู่ 46 แท่งในเซลล์ทุกเซลล์ จึงจะทำให้ร่างกายทำหน้าที่ได้ปกติ หากมีการเกินมาหรือขาดหายไปของโครโมโซมหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของโครโมโซม จะมีผลให้ร่างกายเกิดความผิดปกติ และเกิดความพิการได้ยกตัวอย่างเช่น ในกรณีที่มีโครโมโซมที่ 21 เกินมาหนึ่งแท่ง จะทำให้เกิดกลุ่มอาการผิดปกติ ที่เรียกว่ากลุ่มอาการดาวน์ (Down Syndrome) ซึ่งผู้ที่มีลักษณะเช่นนี้จะมีพัฒนาการช้า และอาจมีความผิดปกติของอวัยวะอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น หัวใจผิดปกติ เป็นต้น</span> </div></div></div></div></div></div></div>kaghttp://www.blogger.com/profile/08390070741931616978noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1924627999698071810.post-54520142145048506862007-12-17T07:15:00.000-08:002007-12-17T07:37:50.952-08:00ฟ้าทลายโจร<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgZd0e2h891pWVZ8eO3NWBe-jk3LTyuKGafD-98TIO4l0Evx7QnOoFcoNJAwj732hRIz1mqmXuFdtNbzhIKxhD-urKJ_O-dkEGpdRpXkX62xtR1fUbMBi3Z_DcEVEF6geB5dMbKti5P2YNP/s1600-h/%E0%B8%9F%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%82%E0%B8%88%E0%B8%A3.jpg"><img style="cursor: pointer;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgZd0e2h891pWVZ8eO3NWBe-jk3LTyuKGafD-98TIO4l0Evx7QnOoFcoNJAwj732hRIz1mqmXuFdtNbzhIKxhD-urKJ_O-dkEGpdRpXkX62xtR1fUbMBi3Z_DcEVEF6geB5dMbKti5P2YNP/s200/%E0%B8%9F%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%82%E0%B8%88%E0%B8%A3.jpg" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5144966040842642642" border="0" /></a><br /><span style="color: rgb(255, 0, 0);font-family:MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif;font-size:130%;color:#006600;" >ฟ้าทลายโจร</span> <p class="MsoNormal" style=""><span style=";font-family:";font-size:14;" lang="TH" >ฟ้าทลายโจร เป็นพืชสมุนไพรที่หลายท่านรู้จักกันดี มีชื่อเรียกต่างๆ กันไปในแต่ละภูมิภาค เช่น น้ำลายพังพอน ยากันงู ขุนโจรห้าร้อย ชวงซิมน้อย เจ็กเกียงฮี่ ฟ้าสาง สามสิบดี เขยตา ยายคุม ฟ้าสะท้าน ชาวจีนเรียกฟ้าทลายโจรว่า ซิปังกี่โขว่ เช่า</span><span style=";font-family:";font-size:14;" ><br /> <span lang="TH">ฟ้าทลายโจร มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า</span><i> Andrographis Paniculate Wall</i>.ex nees <span lang="TH">อยู่ในวงศ์ </span>Acanthaceae <span lang="TH">ซึ่งเป็นไม้พุ่ม ต้นเตี้ยตระกูลเดียวกับกะเพรา โหระพา ต้อยติ่ง และทองพันชั่ง แต่มีรสขมมากจนได้ชื่อว่าเป็นราชาแห่งความขม (</span>King of bitterness)<br /> <span lang="TH">ลำต้นสี่เหลี่ยม ลักษณะใบเรียวยาว ปลายใบแหลม สีเขียวเข้มเป็นมัน ขอบใบมีรอยหยักเล็กน้อย ใบเป็นใบเดี่ยวออกตรงข้ามกัน ดอกเป็นดอกเดี่ยวเล็กๆ สีขาว ออกเป็นช่อที่ยอดและตามง่ามใบ ดอกมักจะทยอยบาน จากโคนช่อไปสู่ปลายช่อ กลีบรองดอกสีขาว ส่วนโคนเชื่อมติดกัน ปลายแยกเป็นกลีบแหลมๆ </span>5 <span lang="TH">กลีบ กลีบดอกจริงสีขาว โคนเชื่อมกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็น </span>2 <span lang="TH">กลีบใหญ่ กลีบบนใหญ่กว่ากลีบล่างมี </span>3 <span lang="TH">หยัก มีจุดสีม่วงแดง ปลายกลีบล่างมีสองหยัก เกสรผู้ </span>2 <span lang="TH">อัน ติดกับกลีบดอก ท่อเกสรเมียเรียวยาว ฝักคล้ายฝักต้อยติ่ง ฝักแก่จะมีสีน้ำตาล แตกง่าย มีเมล็ดเล็กๆ อยู่ภายในฝัก เป็นพืชที่ปลูกง่าย ชอบดินร่วนซุย มีการระบายน้ำดี ส่วนใหญ่ขยายพันธุ์โดยเมล็ด ท่านที่ปลูกฟ้าทลายโจรจะเห็นว่า เริ่มแรกปลูกเพียงไม่กี่ต้น ต่อมาจะขยายพื้นที่กว้างขึ้นเอง เนื่องจากฝักที่แก่ถ้าไม่เก็บมาใช้ประโยชน์ ฝักจะแตก เมล็ดร่วงหล่นลงดิน งอกเป็นต้นใหม่</span></span><b><u><span style=";font-family:";font-size:14;color:green;" ><br /></span></u></b><span style=";font-family:";font-size:14;color:blue;" > </span><b><span style=";font-family:";font-size:14;color:red;" lang="TH" >ชื่อท้องถิ่น</span></b><span style=";font-family:";font-size:14;color:blue;" > <span lang="TH">ฟ้าทลาย น้ำลาย พังพอน (กรุงเทพฯ) หญ้ากันงู</span> (<span lang="TH">สงขลา) ฟ้าสาง (พนัสนิคม)</span> <span lang="TH">เขตตายายคลุม </span></span><span style=";font-family:";font-size:14;" ><o:p></o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style=""><span style=";font-family:";font-size:14;color:blue;" lang="TH" ><span style=""> </span><span style=""> </span><span style=""> </span>(โพธาราม) สามสบดี (ร้อยเอ็ด) เมฆทลาย</span><span style=";font-family:";font-size:14;color:blue;" > (<span lang="TH">ยะลา) ฟ้าสะท้าน (พัทยา)</span><br /> </span><b><span style=";font-family:";font-size:14;color:red;" lang="TH" >ชื่ออื่น ๆ</span></b><span style=";font-family:";font-size:14;color:blue;" > <span style=""> </span><span lang="TH">คีปังฮี</span> (<span lang="TH">จีน)</span><br /> </span><b><span style=";font-family:";font-size:14;color:red;" lang="TH" >ลักษณะของพืช</span></b><span style=";font-family:";font-size:14;color:blue;" > <span lang="TH">ฟ้าทลายโจรเป็นพืชล้มลุก สูง </span>1-2 <span lang="TH">ศอก ลำต้นสี่เหลี่ยม</span> <br /><span lang="TH"><span style=""> </span>แตกกิ่งเล็กด้านข้างจำนวนมากใบสีเขียว ตัวใบรียาว ปลายแหลม ดอกขนาดเล็ก สีขาว มีขอบกระ สีม่วงแดง ผักคล้ายผักต้อยติ่ง เมล็ดในสีน้ำตาลอ่อน</span><br /> </span><b><span style=";font-family:";font-size:14;color:red;" lang="TH" >ส่วนที่ใช้เป็นยา</span></b><span style=";font-family:";font-size:14;color:blue;" > <span lang="TH">ใบ</span><br /> </span><span style=";font-family:";font-size:14;color:red;" > <b><span lang="TH">ช่วงเวลาที่เก็บเป็นยา</span></b></span><span style=";font-family:";font-size:14;color:blue;" > <span lang="TH">เก็บใบในช่วงเริ่มออกดอก ใช้เวลาปลูกประมาณ </span>3 <span lang="TH">เดือน</span><br /> </span><b><span style=";font-family:";font-size:14;color:red;" lang="TH" >รสและสรรพคุณยาไทย</span></b><span style=";font-family:";font-size:14;color:blue;" > <span lang="TH">รสขม เป็นยาแก้เจ็บคอ แก้ท้องเสีย แก้ไข เป็นยาขมเจริญอาหาร</span><br /> <span style=""> </span> </span><span style=";font-family:";font-size:14;color:red;" > <b><span lang="TH">วิธีใช้</span></b></span><span style=";font-family:";font-size:14;color:blue;" > <span lang="TH">ใบฟ้าทลายโจรใช้รักษาอาการท้องเสียและอาการเจ็บคอ มีวิธีใช้ </span>3 <span lang="TH">วิธีดังนี้คือ</span><br /> </span><b><span style=";font-family:";font-size:14;color:red;" >1. <span lang="TH">ยาต้ม</span></span></b><span style=";font-family:";font-size:14;color:blue;" > <span lang="TH">ใช้ใบฟ้าทลายโจรสด </span>1-3 <span lang="TH">กำมือ</span> (<span lang="TH">แก้อาการเจ็บคอ ใช้เพียง </span>1 <span lang="TH">กำมือต้มกับน้ำนาน </span>10-15 <span lang="TH">นาที ดื่มก่อนอาหารวันละ </span>3 <span lang="TH">ครั้ง หรือเวลามีอาการ ยาต้มฟ้าทลายโจรมีรสขมมาก</span><br /> </span><b><span style=";font-family:";font-size:14;color:red;" >2. <span lang="TH">ยาลูกกลอน</span></span></b><span style=";font-family:";font-size:14;color:blue;" > <span lang="TH">นำใบฟ้าทลายโจรสด ล้างให้สะอาด ผึ่งลมให้แห้ง</span> (<span lang="TH">ควรผึ่งในร่มที่มีอากาศโปร่งห้ามตากแดด) บดเป็นผงให้ละเอียด ปั้นกับน้ำผึ้งเป็นเม็ดยาลูกกลอนขนาดเท่าปลายนิ้วก้อย หรือขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ </span><st1:metricconverter productid="0.8 เซนติเมตร" st="on">0<span lang="TH">.</span>8 <span lang="TH">เซนติเมตร</span></st1:metricconverter><span lang="TH"> ผึ่งลมให้แห้งเก็บไว้ในขวดแห้งและมิดชิด รับประทานครั้ง </span>3-6 <span lang="TH">เมล็ด วันละ </span>3-4 <span lang="TH">ครั้ง ก่อนอาหารและก่อนนอน</span> <br /> </span><b><span style=";font-family:";font-size:14;color:red;" lang="TH" >ยาดองเหล้า</span></b><span style=";font-family:";font-size:14;color:blue;" > <span lang="TH">นำใบฟ้าทลายโจรแห้ง ขยำให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ ใส่ในขวดแก้วใช้เหล้าโรง </span>40 <span lang="TH">ดีกรี แช่พอให้ท่วมยาเล็กน้อย ปิดฝาให้แน่น เขย่าขวด หรือคนยาวันละ </span>1 <span lang="TH">ครั้ง พอครบ </span>7 <span lang="TH">วัน กรองเอาแต่น้ำ เก็บไว้ในขวดที่มิดชิดและสะอาด รับประทานครั้งละ </span>1-2 <span lang="TH">ช้อนโต๊ะ (รสขมมาก) วันละ </span>3-4 <span lang="TH">ครั้ง ก่อนอาหาร หรือใช้พืชแห้งบดเป็นผงละเอียด ปั้นเป็นยาลูกกลอนขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ </span>0</span><span style=";font-family:";font-size:14;color:blue;" >.</span><span style=";font-family:";font-size:14;color:blue;" >8 <span lang="TH">ซม</span></span><span style=";font-family:";font-size:14;color:blue;" lang="TH" > </span><span style=";font-family:";font-size:14;color:blue;" lang="TH" >กินครั้งละ </span><span style=";font-family:";font-size:14;color:blue;" >3-6 <span lang="TH">เม็ด วันละ</span> 3-4 <span lang="TH">ครั้ง </span><o:p></o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style=""><span style=";font-family:";font-size:14;color:blue;" lang="TH" >ก่อนอาหารและก่อนนอน สำหรับผงฟ้าทะลายโจรที่บรรจุแคปซูล ๆ ละ </span><span style=";font-family:";font-size:14;color:blue;" >500 <span lang="TH">มิลลิกรัม ให้กินครั้งละ </span>2 <span lang="TH">เม็ด วันละ </span>2 <span lang="TH">ครั้ง ก่อนอาหารเช้าและเย็น อาการข้างเคียงที่อาจพบคือ คลื่นไส้</span><o:p></o:p></span></p>kaghttp://www.blogger.com/profile/08390070741931616978noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1924627999698071810.post-13211501188218548992007-11-28T23:02:00.000-08:002007-12-03T18:16:01.702-08:00สมุนไฟรรายวัน<a href="http://bp1.blogger.com/_rV3NVyhuK3A/R1S4Qy8I2jI/AAAAAAAAAC0/-8Mqh1HcrIc/s1600-R/markra_rong13_s.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5139935673428007474" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="http://bp1.blogger.com/_rV3NVyhuK3A/R1S4Qy8I2jI/AAAAAAAAAC0/2bdv9_TUi1o/s200/markra_rong13_s.jpg" border="0" /></a><br /><div align="center"><span style="color:#330033;">ม้ากระทืบโรง</span></div><span style="color:#cc0000;"><br /><div align="center"><br /><span style="color:#3333ff;">ม้ากระทืบโรง (ชื่อวิทยศาสตร์: Ficus pubigera Wall) เป็นไม้ในวงศ์ MORACEAE มีชื่อท้องถิ่นอื่น </span></div><br /><div align="left"><span style="color:#3333ff;">เช่น เดื่อเครือ ม้าทะลายโรง ม้าคอกแตก มันฤาษี </span></div><br /><div align="left"><span style="color:#3333ff;"></span></div><br /><div align="left"><span style="color:#3333ff;">ม้ากระทืบโรง ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ เป็นไม้พุ่มรอเลื้อย เลื้อยเกาะไปตามพรรณไม้อื่นมีน้ำยางขาว สูงถึง 25 เมตร กิ่งอ่อน ก้านใบผิวใบด้ายล่าง และฐานรองดอกอ่อนมีขน ใบเดี่ยว เรื่องสลับ รูปใบหอก รูแของขนานแกมใบหอก รูปไข่หรือรูปของขนานแกมวงรี กว้าง 7-9 ซม. ยาว 12-18ซม. ดอกช่อ ลักษณะทรงกลมคล้ายผลออกเดี่ยวๆ ที่ซอกใบ แยกเพศ อยู่ในช่อเดี่ยวกัน ฐานรองดอกรูปทรงกลม ผลสด รูปทรงกลม ภายในสีแดง สรรพคุณตามตำรายาไทย ใช้ เถา บำรุงกำลัง ต้น บำรุงร่างกาย บำรุงความกำหนัด ช่วยขับน้ำย่อย เนื้อไม้ แก้ปวดหลัง แก้ปวดหัว ทั้งต้น บำรุงธาตุ บำรุงกำลัง </span></div><br /><div align="left"></div><br /><div align="center"><span style="color:#990000;">ยาดองเหล้าม้ากระทืบโรงสมุนไพรที่ใช้</span> </div><br /><div align="left">- ม้ากระทืบโรง 40 กรัม</div><br /><div align="left">- เถาวัลย์เปรียบ 20 กรัม</div><br /><div align="left">- เถาโคลนลาน 20 กรัม</div><br /><div align="left">- ชะเอมเทศ 20 กรัม</div><br /><div align="left">- ใบมะค่าไก่ 10 กรัม</div><br /><div align="left">- โกฐสอย 20 กรัม</div><br /><div align="left">- หัวกระชาย 20 กรัม</div><br /><div align="left">- อบเชยญวณ 5 กรัม</div><br /><div align="left">- ดอกจันทน์เทศ 5 กรัม</div><br /><div align="left">- ดอกเก็กฮวย 5 กรัม</div><br /><div align="left">- ลูกกระวาน 5 กรัม</div><br /><div align="left">- ดอกคำฝอย 5 กรัม</div><br /><div align="left">- ฝาง 5 กรัม</div><br /><div align="left"></div><br /><div align="left"><span style="color:#3333ff;">วิธีปรุง : นำตัวยากทั้งหมดมาดองผสมกับเหล้าสรรพคุณ : - บำรุงกำลัง - แก้ปวดเมื่อย - ยาระลาย - คลายเส้นเอ็น - แก้ปวดเมื่อย - ขับเสมหะ - แก้ไข - แก้ไข้- บำรุงหัวใจ - บำรุงธาตุ - ขับลม - บำรุงโลหิต</span></div><br /><div align="left"><span style="color:#3333ff;"></span><span style="color:#3333ff;"></span></span></div><span style="color:#cc0000;"></span>kaghttp://www.blogger.com/profile/08390070741931616978noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-1924627999698071810.post-51623917270724068322007-11-27T22:54:00.001-08:002007-11-27T22:54:36.245-08:00ความเป็นมาของสุราษฏร์ธานี<div align="left">ประวัติความเป็นมาของจังหวัดสุราษฎร์ธานี</div><div align="left"><br />จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นที่ตั้งของเมืองเก่า เป็นศูนย์กลางของเมืองศรีวิชัย มีหลักฐานแสดงถึงการตั้งรกราก และเส้นทางสายไหมในอดีต พื้นที่อ่าวบ้านดอนเจริญขึ้นจนเป็นอาณาจักรศรีวิชัยในช่วงหลังพุทธศตวรรษที่ ๑๓ โดยมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์เป็นเครื่องยืนยันความรุ่งเรืองในอดีต ได้แก่ พระบรมธาตุไชยา วัดแก้ว วัดเวียง วัดหลง และมีการขุดพบพระพุทธรูป และพระโพธิสัตว์อวตารเป็นจำนวนมากในพื้นที่อำเภอไชยา ภายหลังยังเชื่อว่า เมื่ออาณาจักรตามพรลิงก์ หรือเมืองนครศรีธรรมราชมีความรุ่งเรืองมากขึ้นนั้น เมืองไชยาก็เป็นหนึ่งในเมืองสิบสองนักษัตรของเมืองนครศรีธรรมราชด้วย<br />นอกจากนี้ในยุคใกล้เคียงกันนั้นยังพบความเจริญของเมืองที่เกิดขึ้นในบริเวณลุ่มแม่น้ำตาปี ได้แก่ เมืองเวียงสระ เมืองคีรีรัฐนิคม และเมืองท่าทอง โดยเชื่อว่าเจ้าศรีธรรมาโศก ผู้ครองเมืองนครศรีธรรมราชนั้นอพยพย้ายเมืองมาจากเมืองเวียงสระ เนื่องจากเป็นเมืองที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล และเมื่อเมืองนครศรีธรรมราชเจริญรุ่งเรืองนั้น ได้ยกเมืองไชยา และเมืองท่าทอง เป็นเมืองสิบสองนักษัตรของตนด้วย<br />ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดให้ก่อตั้งอู่เรื่อพระที่นั่งและเรือรบเพื่อใช้ในราชการที่อ่าวบ้านดอน ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงให้ย้ายที่ตั้งเมืองท่าทองมายังอ่าวบ้านดอน (ซึ่งเป็นที่ตั้งของอำเภอเมืองสุราษฎร์ธานีในปัจจุบัน) พร้อมทั้งยกฐานะให้เป็นเมืองจัตวา ขึ้นตรงต่อกรุงเทพมหาคร และพระราชทานชื่อว่า "เมืองกาญจนดิษฐ์" โดยแต่งตั้งให้พระยากาญจนดิษฐ์บดีเป็นเจ้าเมืองดูแลการปกครอง<br />ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงโปรดให้รวมเมืองกาญจนดิษฐ์ เมืองคีรีรัฐนิคม และเมืองไชยาเป็นเมืองเดียวกัน เรียกว่า "เมืองไชยา" ภายใต้สังกัดมณฑลชุมพร<br />เมื่อเมืองขยายใหญ่ขึ้น จึงมีการปรับเปลี่ยนการปกครองและขยายเมืองออกไป มีการสร้างเมืองใหม่ขึ้นที่ อ่าวบ้านดอน ให้ชื่อเมืองใหม่ว่า อำเภอไชยา และให้ชื่อเมื่องเก่าว่า "อำเภอพุมเรียง" แต่เนื่องด้วยประชาชนยังติดเรียกชื่อเมืองเก่าว่า "อำเภอไชยา" ด้วยเหตุนี้ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระราชทานนามเมืองใหม่ที่บ้านดอนว่า "สุราษฎร์ธานี" และให้ชื่อเมืองเก่าว่า "อำเภอไชยา" และทรงพระราชทานนามแม่น้ำตาปี ให้ในคราวเดียวกันนั้นเอง ซึ่งเป็นการตั้งชื่อตามแบบเมืองและแม่น้ำในประเทศอินเดีย ที่มีแม่น้ำตาปติ ไหลลงสู่ทะเลออกผ่านปากอ่าวที่เมือง สุรัฎร<br />ตราประจำจังหวัด คือ พระบรมธาตุไชยา ซึ่งมีศิลปะแบบศรีวิชัย ตั้งอยู่ ณ วัดพระบรมธาตุไชยาราชวรวิหาร โดยสร้างขึ้นเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๔ และเป็นสถานที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย </div><div align="left">ต้นไม้ประจำจังหวัด ได้แก่ เคี่ยม (Cotylelobium melanoxylon)ดอกไม้ประจำจังหวัด ได้แก่ ดอกบัวผุด (Rafflesia kerrii) </div><div align="left"></div><div align="left">คำขวัญประจำจังหวัด ได้แก่ เมืองร้อยเกาะ เงาะอร่อย หอยใหญ่ ไข่แดง แหล่งธรรมะ</div><div align="left"><br />หมายเหตุ : คำขวัญประจำจังหวัดในอดีต แต่งโดยพระเทพรัตนกวี (ก.ธรรมวร) อดีตเจ้าคณะจังหวัดสุราษฎร์ธานี : </div><div align="left">สะตอวัดประดู่ </div><div align="left">พลูคลองยัน </div><div align="left">ทุเรียนหวานมันคลองพระแสง</div><div align="left">ย่านดินแดงของป่า </div><div align="left">เคียนซาบ่อถ่านหิน </div><div align="left">พุนพินมีท่าข้ามแม่น้ำตาปี </div><div align="left">ไม้แก้วดีเขาประสงค์ </div><div align="left">กระแดะดงลางสาด </div><div align="left">สิ่งประหลาดอำเภอพนม</div><div align="left">เงาะอุดมบ้านส้อง </div><div align="left">จากคลองในบาง</div><div align="left">ท่าฉางต้นตาล </div><div align="left">บ้านนาสารแร่ </div><div align="left">ท่าทองอุแทวัดเก่า</div><div align="left">อ่าวบ้านดอนปลา </div><div align="left">ไชยาข้าวไข่แดง </div><div align="left">มะพร้าวเกาะสมุย</div>kaghttp://www.blogger.com/profile/08390070741931616978noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1924627999698071810.post-79276280236997696032007-10-26T02:17:00.002-07:002007-11-27T00:42:57.581-08:00ความรู้ทั่วไป<a href="http://www.geocities.com/auto_aircond/">http://www.geocities.com/auto_aircond/</a>kaghttp://www.blogger.com/profile/08390070741931616978noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1924627999698071810.post-56606803972700557062007-10-26T02:01:00.000-07:002007-11-29T06:40:48.374-08:0011เคล็ดลับ การทำงานอย่างมีความสุข<span style="font-family:arial;color:#3333ff;">1<span style="color:#006600;">. เริ่มงานอย่างสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ปลอดโปร่ง </span></span><br /><span style="font-family:arial;color:#006600;"><span style="color:#3366ff;">2</span>. ปรับปรุงบุคคลิกภาพ ให้เหมาะกับตำแหน่งและลักษณะงาน </span><br /><span style="font-family:arial;color:#006600;"><span style="color:#33ffff;">3</span>. สนทนาแลกเปลี่ยนกับบุคคลที่เกี่ยวข้องกับงานอยู่เสมอ </span><br /><span style="font-family:arial;color:#006600;"><span style="color:#66ff99;">4</span>. ศึกษาวิธีการทำงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งกว่าเดิม </span><br /><span style="font-family:arial;color:#006600;"><span style="color:#ff6666;">5</span>. ใส่ความกระตือรือร้น และพลังวังชาลงไปในงาน </span><br /><span style="font-family:arial;color:#006600;"><span style="color:#ffccff;">6.</span> หมั่นบันทึกคำเตือนเพื่อกันลืม สำหรับตนเอง</span><br /><span style="font-family:arial;color:#006600;"><span style="color:#663366;">7</span>. หมั่นหาความรู้เพื่มเติมตลอดเวลา </span><br /><span style="font-family:arial;color:#006600;"><span style="color:#cc33cc;">8.</span> หากต้องการคลายเครียด ลองหาหนังสือธรรมะมาอ่าน</span><br /><span style="font-family:arial;color:#006600;"><span style="color:#ffcc99;">9</span>. อย่าจริงจังกับงานและชีวิตจนเคร่งเครียด </span><br /><span style="font-family:arial;color:#006600;"><span style="color:#ccccff;">10.</span> แบ่งงานออกเป็นส่วน ๆ แล้วลำดับความสำคัญของงาน</span><br /><span style="color:#3333ff;"><span style="font-family:arial;color:#006600;"><span style="color:#000000;">11.</span> กำหนดเวลาพักผ่อน เวลาทำงาน และเวลานั่งสมาธิให้ชัดเจน</span> </span>kaghttp://www.blogger.com/profile/08390070741931616978noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1924627999698071810.post-26609350438835345522007-10-26T01:50:00.000-07:002007-11-29T06:56:51.458-08:00ธรรมวันละคำ<div align="center"><span style="color:#3333ff;">ธรรมสำหรับการครองเรือนในชีวิตของบุคคลทั่วไปได้แก่</span></div><span style="color:#660000;">๑. สัจจะ คือ พูดจริงทำจริงและซื่อตรง </span><br /><span style="color:#660000;">๒. ทมะ คือ ฝึกหัดแก้ไขปรับปรุง </span><br /><span style="color:#660000;">๓. ขันติ คือ อดทนตั้งใจและขยัน </span><br /><span style="color:#660000;">๔.จาคะ คือ เสียสละ </span>kaghttp://www.blogger.com/profile/08390070741931616978noreply@blogger.com0